บุคคลที่มีความบกพร่องทางการเห็น
บุคคลที่มีความบกพร่องทางการเห็น หมายถึง บุคคลที่สูญเสียการเห็นตั้งแต่ระดับเล็กน้อยจนถึงบอดสนิทลักษณะความบกพร่องทางการเห็นแบ่งได้เป็น
2
ประเภท คือ
1. การมองเห็นเลือนราง (Low
vision) หมายถึงบุคคลที่สูญเสียการมองเห็นที่ไม่รุนแรงไม่สามารถอ่านตัวหนังสือทั่วไปได้แต่สามารถอ่านตัวหนังสือที่มีขนาดใหญ่กว่าปกติและจำเป็นต้องใช้
เครื่องมือในการขยายตัวอักษร คนเห็นเลือนราง หมายถึง บุคคลที่สูญเสียการเห็นแต่ยังสามารถอ่านตัวอักษรพิมพ์ขยายใหญ่ด้วยอุปกรณ์เครื่องช่วยความพิการหรือเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวก
หากวดความชัดเจนของสายตาข้างดีเมื่อแก้ไขแล้วอยู่ในระดับ 6
ส่วน 18 เมตร (6/18) หรือ 20 ส่วน 70 ฟุต (20/70) หรือมีลานสายตาแคบกว่า
30 องศาลงไปจนถึง10 องศา
2.
ตาบอด (Blindness) เป็นความบกพร่องของการเห็นจนไม่สามารถใช้การเห็นประกอบภารกิจประจำวันด้านการศึกษาและประกอบอาชีพเช่นคนปกติทั่วไป
คนตาบอด จึงหมายถึงบุคคลที่สูญเสียการมองเห็นมากจนต้องใช้ อักษรเบรลล์ หากตรวจวัดความชัดของสายตาข้างดีเมื่อแก้ไขแล้วอยู่ในระดับ
6 ส่วน 60 เมตร (6/60) หรือ 20 ส่วน 200 ฟุต (20/200)
จนถึงไม่สามารถรับรู้เรื่องแสงหรือมีลานสายตาแคบกว่า 10 องศา
สาเหตุของความบกพร่องทางการเห็น
1. กรรมพันธุ์ (heredity) เป็นโรคที่สืบทอดจาก บิดา มารดา
ปู่ ย่า ตา ยาย มักจะเป็นโรคที่ป้องกันไม่ได้ เช่น โรคต้อกระจกชนิดเป็นมาแต่กำเนิด
โรคตาเสื่อม (retinal pigmentosa) ประสาทตาเสื่อม(opticatrophy)
2. บิดา มารดา เป็นโรคบางอย่าง ซึ่งสามารถถ่ายทอดไปยังเด็กทำให้เด็กเกิดมามีตาไม่สมประกอบอันอาจเกิดมาจากความผิดปกติของโครโมโซม
สาเหตุก่อนคลอด
เกิดขึ้นขณะที่มารดาตั้งครรภ์
โดยเฉพาะ 3 เดือนแรก ขณะตั้งครรภ์มารดามีอาการ ดังนี้
· เป็นหัดเยอรมัน มีผลต่อลูกตาของเด็ก เช่น ตาเล็กกว่าปกติ ตาฝ่อ
ไม่มีลูกตา
· เป็นโรคเกี่ยวกับเชื้อราในเลือด ทำให้เส้นประสาทตาของเด็กเกิดอาการอักเสบ
มีผลทำให้เด็กมองไม่เห็นเมื่อคลอดออกมา ประสาทตาอักเสบมีผลทำให้เด็กมองไม่เห็นเมื่อคลอดออกมา
· การคลอดก่อนกำหนด มักมีน้ำหนักน้อย ตัวเหลือง ต้องเข้าตู้อบ เมื่อต้องอยู่ในตู้อบนานมีผลทำให้เด็กตาบอดได้
สาเหตุขณะคลอด
·
การอักเสบทางช่องคลอดของมารดา
ที่เกิดจากการติดเชื้อ เช่น หนองใน เชื้อรา เชื้อเริม
·
ได้รับบาดเจ็บจากการใช้เครื่องมือขณะแพทย์ทำการคลอด
สาเหตุหลังคลอด
·
ได้รับอุบัติเหตุจากวัตถุหรือสิ่งของ
เช่น ลูกดอก มีด ดินสอ วัตถุระเบิด
·
ขาดสารอาหารหรือวิตามินเอ
· ใช้ยาหยอดตาพร่ำเพรื่อ
ใช้เองโดยไม่ปรึกษาแพทย์
· อาจเกิดได้จากการเป็นโรคเนื้องอกที่ตา
· อาจเกิดจากสาเหตุอื่นๆ
จากการศึกษาพบว่าเด็กตาบอดประมาณ 14 - 15 %
มีสาเหตุมาจากพันธุกรรมความบกพร่องทางสายตา อันเกิดจากพันธุกรรมนั้น ได้แก่ ความผิดปกติของดวงตา
ทำให้กลายเป็นคนสายตาสั้นหรือสายตายาวได้
ลักษณะอาการของบุคคลที่มีความบกพร่องทางการเห็น
สามารถจำแนกให้เห็นถึงความสามารถในการมองเห็นของคนตาบอดไว้ 6 จำพวก ได้แก่
· คนที่จัดว่าตาบอด คือ
บุคคลที่มองอะไรไม่เห็นเลย ไม่สามารถอาศัยสายตาในการศึกษาเล่าเรียนได้เป็นบุคคลที่มองเห็นได้ในระดับ
20/200 คือมองเห็นได้ในระยะ 20 ฟุต ในขณะที่คนธรรมดามองเห็นได้ในระยะ 200 ฟุต คือ
บุคคลที่บอดสนิทโดยกำเนิดหรือบอดภายหลังอายุครบ 5 ขวบ
· ตาบอดสนิท (Total Blindness) คือ
คนที่มองเห็นได้ไม่มากกว่า 2/200 และไม่สามารถมองเห็นการโบกมือในระยะห่าง 3 ฟุต
ได้เลย คือ บุคคลที่ภายหลังจากอายุ 5 ขวบไปแล้วจึงบอดสนิท
· ผู้มองเห็นได้ในระยะ 5/200
แต่ไม่สามารถนับนิ้วมือได้ในระยะห่างออกไป 1 ฟุต คือ บุคคลที่มองเห็นอย่างเลือนลางมาตั้งแต่กำเนิด
· ผู้มองเห็นได้ในระยะ 10/200
แต่ไม่อาจอ่านพาดหัวข่าวหนังสือพิมพ์ได้ สามารถรับรู้การเคลื่อนไหวได้บ้าง คือ
บุคคลที่ตาบอดไม่สนิทโดยกำเนิด
· ผู้มองเห็นได้ในระยะ 20/200
สามารถอ่านพาดหัวหนังสือพิมพ์ตัวโตๆได้ แต่อ่านได้ไม่เกิน 14 จุด คือ บุคคลที่ตาบอดไม่สนิทแต่ต่อมาเกิดบอดสนิท
· ผู้มองเห็นได้ในระยะ 20/200
สามารถอ่านได้ 10 จุด แต่ไม่สามารถใช้สายตาให้เป็นประโยชน์ในชีวิตประจำวันได้ คือ
บุคคลที่พอมองเห็นบ้าง แต่ต่อมาบอดสนิท
ความบกพร่องทางการเห็นโดยทั่วไปจะมีอาการที่สามารถสังเกตได้ในลักษณะต่างๆ
ดังนี้
· มีอาการคันตาเรื้อรัง มีน้ำตาไหลอยู่เสมอ
หรือตาแดงอยู่บ่อยๆ
· มักมองเห็นภาพซ้อน วิงเวียนศีรษะ
มองเห็นไม่ชัดในบางครั้ง
· เวลามองวัตถุไกลๆ ต้องขยี้ตา
หรือทำหน้าย่นขมวดคิ้ว
· เวลาเดินต้องมองอย่างระมัดระวังหรือเดินช้าๆ
โดยกลัวจะสะดุดสิ่งที่ขวางหน้า
· ไม่มีความสนใจดูภาพที่ติดตามฝาผนัง
หรือข้อความที่เขียนบนกระดานดำ
· มักบ่นเรื่องสายตาอยู่เสมอ
· ไม่ชอบการทำงานที่ต้องใช้สายตา
· กระพริบตาบ่อยๆ ขณะอ่านหนังสือ
· วางหนังสือในลักษณะผิดปกติขณะอ่านใกล้หรือไกลเกินไป
· ขณะอ่านต้องเอียงศีรษะ
· อ่านหนังสือได้ในระยะเวลาสั้น
· ขณะอ่านหนังสือต้องปิดตาข้างใดข้างหนึ่ง
· สายตาสู้แสงสว่างไม่ค่อยได้
เด็กที่มีความบกพร่องทางสายตาโดยทั่วไปจะเคลื่อนไหวช้าประสาทสัมผัสบางส่วนจะทำงานได้ดีกว่าคนปกติเช่น
ประสาทหู และความสามารถด้านความจำส่วนสุขภาพโดยทั่วไปจะไม่แตกต่างจากเด็กปกติ
รวมทั้งการพูดจาก็จะใช้ภาษาพูดตามปกติแต่จะเรียนการพูดได้ช้ากว่าเด็กปกติ
เด็กตาบอดจะพูดเสียงดัง แต่น้ำเสียงปกติจะไม่มีการใช้มือประกอบท่าทางการพูด
และเวลาพูดจะเผยอริมฝีปากเล็กน้อยบุคคลที่มี
การปรับตัวส่วนตัวของบุคคลที่บกพร่องทางการเห็น
การปรับตัวของผู้ที่บกพร่องทางการเห็นไม่ว่าจะเป็นด้านส่วนตัวหรือทางสังคมขึ้นอยู่กับฐานะทางเศรษฐกิจของแต่ละคน
คือ บุคคลที่มีฐานะดี ก็จะได้รับการเลี้ยงดูอย่างดี ส่วนบุคคลที่ครอบครัวยากจน
ขาดความอบอุ่น ตามปกติบุคคลที่บกพร่องทางการเห็นมักจะไม่คิดว่าตนเองอยู่ในโลกมืดไม่เศร้าเสียใจ
กับความบกพร่องทางสายตาของตนเท่าไรนัก
มีบางคนเท่านั้นที่มีความรู้สึกหดหู่ที่มองไม่เห็นเนื่องมาจากได้ยินคำบอกเล่าหรือคำพูดเปรียบเทียบความสุขของบุคคลที่บกพร่องทางการเห็นขึ้นอยู่กับ
3 ประการ คือ
1. การยอมรับของสังคม
2. ความสำเร็จส่วนตัว
3. การยอมรับสภาพของตน
การเป็นอยู่ของบุคคลเหล่านี้มักไม่เกี่ยวข้องกับคนปกติมากนัก
กิจกรรมของพวกเขามักเป็นกิจกรรมซ้ำๆ เช่น การร้องเพลง บุคคลที่บกพร่องทางการเห็นมักร้องเพลงได้ดี
คนปกติทั่วไปมักเข้าใจว่า บุคคลตาบอดจะสติปัญญาทึบ หรือมีลักษณะเป็นคนไร้ความสามารถซึ่งความจริงแล้วไม่เป็นเช่นนั้นเลย
พัฒนาการทางด้านร่างกาย
ความบกพร่องทางสายตาไม่ได้มีอิทธิพลต่อความเจริญเติบโตของเด็ก นำหนัก ส่วนสูง
เหมือนคนปกติจะเสียเปรียบตรงที่การกระทำที่ต้องใช้ทักษะต่างๆ ซึ่งพวกเขามักได้รับการฝึกฝนใช้กล้ามเนื้อส่วนต่างๆ
การมองไม่เห็น ทำให้เด็กคลานช้า เดินช้า
และขาดการฝีกฝนในกิจกรรมที่ต้องใช้ความรวดเร็วทุกชนิดเช่น การขี่จักรยาน
การเล่นฟุตบอล หรือกีฬาอื่นๆ
การพัฒนาบุคลิกภาพ
อย่าให้เด็กอยู่คนเดียวตามลำพัง จนเป็นส่งเสริมให้เด็กสร้างนิสัยที่ไม่ดีดังกล่าว
เมื่อเด็กแสดงอากับกริยาดังกล่าว ควรให้เด็กทำชั่วครู่ ให้หันไปทำกิจกรรมอย่างอื่นทน
พ่อแม่อาจวางมือจากงานชั่งคราว และหันไปเล่นกับเด็ก ไม่พยายามที่จะสกัดกันความอยากรู้อยากเห็นของเด็กๆ
ไม่ควรแสดงออกถึงความฉุนเฉียว หรือเกลียดเด็กเมื่อเด็กทำให้เกิดความยุ่งยากบางประการ
เพราะเด็กจะกลัวและหันมาแสดงอากับกิริยาดังกล่าวอีก เพราะเด็กอาจเบื่อควรสงเสริมให้เด็กทำสิ่งทีมีประโยชน์
โดยธรรมชาติเด็กตาบอดจะถูกจำกัดขอบเขตเพราะการยั่วยุทางสายตา ถ้ายิ่งดุด่า จู้จี่ ถากถาง
เด็กจะหาความเพลิดเพลินโดยการแสดงอากับกิริยาซ้ำๆ โดยการเล่นกับตัวเองอิก
พัฒนาการทางสมอง
ผู้ที่บกพร่องทางการมองเห็นจะเสียเปรียบเพราะขาดการรับรู้ทางสายตา
เป็นเหตุให้พัฒนาการทางสมองช้าไปด้วย
แต่ความสามารถทางสมองของพวกเขาไม่ได้ลดหรือเพิ่ม
อันเนื่องมาจากการมองไม่เห็นแต่อย่างใด เพียงแต่สติปัญญาของพวกเขาไม่อาจพัฒนาได้ดีได้จนถึงที่สุดเท่านั้น
ได้ทำการทดสอบวัดเชาว์ปัญญาของผู้ที่มีความบกพร่องทางการมองเห็นจากโรงเรียนต่างๆ
สรุปไว้ว่า บุคคลที่มีความบกพร่องทางการมองเห็นนั้นยังคงมีความสามารถทางสมองเป็นปกติ
พัฒนาทางการทางอารมณ์
ผู้ที่บกพร่องทางการมองเห็นมีความต้องการเช่นเดียวกับคนปกติทุกประการ
แต่จะมีช่วงที่สร้างความปั่นป่วนให้คนตาบอดมากคือ เมื่อต้องพึ่งพาผู้อื่นในด้านสายตาเพราะเขาทำเองไม่ได้
ต่อมาระยะที่เขาจำเป็นต้องหางานทำ
ความวิตกกังวลในการดำรงชีวิตต่อไปโดยให้ได้รับความปลอดภัย และเกิดเป็นความหวาดกลัวที่จะไปไหนมาไหน
กลัวอันตรายต่างๆ
พัฒนาการทางสังคม
การมองไม่เห็นมีอิทธิพลต่อพัฒนาการทางสังคมของบุคคลที่มีความบกพร่องทางสายตามาก
พวกเขาต้องการที่จะเรียนรู้ประสบการณ์ต่างๆ มากกว่าเด็กธรรมดาเพื่อเขาจะได้ไม่หว่าเหว
ต้องการเรียนรู้การเป็นผู้ให้และผู้รับด้วยเพื่อทำให้อยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุขเช่นเดียวกับบุคคลทั่วไป
ช่วยเหลือหรือแก้ไขปัญหาบุคคลที่มีความบกพร่องทางการมองเห็น
ในการช่วยเหลือหรือแก้ไขปัญหาบุคคลที่มีความบกพร่องทางการมองเห็น
ปัจจัยเรื่องเวลาและความเอาใจใส่ถือเป็นหัวใจสำคัญ บุคคลรอบข้างควรอดทนและเข้าใจบุคคลกลุ่มนี้
เพื่อให้พวกเขากลับมามองเห็นได้ดีดังเดิม ซึ่งหากพวกเขาได้รับการดูแลที่ดีจนสิ้นสุดการรักษา
บุคคลเหล่านี้ก็ย่อมกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างเป็นปกติ ทั้งนี้วิธีการที่ผู้ปกครองจะช่วยเหลือหรือแก้ไขปัญหาความบกพร่องทางมองเห็นของลูก
ได้แก่
· ผู้ปกครองสังเกตพฤติกรรมการมองเห็นของพวกเขาตั้งแต่แรกเกิด
หากมีความผิดปกติให้พบแพทย์ทันที
· หากคนครอบครัวมีประวัติของโรคอันเกี่ยวข้องกับความผิดปกติทางการมองเห็น
พ่อแม่จำเป็นต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด
เพราะความบกพร่องทางการมองเห็นสามารถถ่ายทอดกันได้ในครอบครัว
· อย่างน้อยที่สุด
พ่อแม่ควรพาลูกไปตรวจการมองเห็น (Vision Screening) ครั้งแรกเมื่อลูกอายุ
3 ขวบยึด
· หลักการ
“ยิ่งเร็ว ยิ่งดี” เพราะยิ่งเจอปัญหาไว
ยิ่งเข้ารับการรักษาไว ก็ยิ่งหายได้ไว
· เมื่อบุคคลที่มีความบกพร่องทางการมองเห็นโตพอที่จะสื่อสารได้
พ่อแม่ควรพูดคุยกับเขาบ่อยๆ และควรทดสอบสภาพการมองเห็นของเขาอยู่เสมอ
· ไม่นิ่งนอนใจเมื่อพวกเขาแสดงพฤติกรรมผิดปกติ
เช่น ขยี้ตา และควรห้ามเขาไม่ให้ไปสัมผัสดวงตา เพราะอาจทำให้อาการแย่ลง
· หากเขาได้รับการวินิจฉัยว่ามีปัญหาความบกพร่องทางการมองเห็น
พ่อแม่ควรพาเขาไปพบแพทย์อย่างสม่ำเสมอและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด
· ในกรณีที่เขาตาบอดสนิทถือว่าเขาขาดโอกาสในการมองเห็นไปตลอดชีวิต
จึงเป็นหน้าที่ที่พ่อแม่และคนใกล้ชิดต้องเติมเต็มเขาด้วยความรักและสอนทักษะการใช้ชีวิตให้กับเขา
· นอกจากจะต้องคอยเติมกำลังใจให้เขาแล้ว
ผู้ปกครองก็ควรเติมกำลังใจให้แก่กันด้วย อย่าปล่อยให้ตนเองเครียดกับปัญหาเหล่านี้
ฝึกคิดเชิงบวกและเป็นตัวอย่างในการคิดเชิงบวก
เพื่อจะได้มีแรงส่งเขาไปได้ตลอดรอดฝั่งจนเขาสามารถพึ่งตัวเองได้
· หาความรู้เพิ่มเติม
เช่น เข้ากลุ่มกับผู้ปกครองของบุคคลที่มีความบกพร่องทางการมองเห็นเพื่อแลกเปลี่ยนข่าวสาร
ข้อแนะนำและกำลังใจ
· สนับสนุนให้เขาใช้อุปกรณ์ช่วยเหลือต่างๆ
เช่น อักษรเบรลล์ หนังสือออกเสียงได้ และใช้สื่ออื่นๆ เช่น ซีดี ในการเรียนรู้
· ส่งเสริมทักษะอื่นๆที่เขาสามารถทำได้เพื่อให้เขาเกิดความภาคภูมิใจ
เช่น ศิลปะ กีฬา ดนตรี รวมถึงเตรียมความพร้อมสำหรับการฝึกทักษะทางวิชาชีพต่อไปในอนาคต
กิจกรรมเพื่อพัฒนาการเรียนการสอนผู้ที่บกพร่องทางการเห็น
ฝ่ายบกพร่องทางการเห็นได้แบ่งกิจกรรมการเรียนการสอนไว้ด้วยกัน
5 ทักษะ โดยแต่ละทักษะมีรายละเอียดที่แตกต่างกัน ดังนี้
1. ทักษะการสร้างความคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมและการเคลื่อนไหว
หรือเรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า O &M (Orientation and
Mobility) ทักษะนี้จะแบ่งลายระเอียดได้หลายข้อโดยจะเริ่มจากวิธีการใช้ไม้เท้าขาวให้ถูกต้องและปลอดภัย
วิธีการจับไม้เท้าใช้มือขวาจับไม้เท้าโดยให้นิ้วมือวางอยู่ตรงหน้าของไม้ หลังจากนั้นก็ให้ใช้ข้อมือขวาเป็นตัวขับเคลื่อนโดยถ้า
เราแกว่งไม้เท้าไปทางขวาเราก็จะต้องก้าวเท้าซ้าย และเมื่อเราก้าวเท้าซ้ายก็จะต้องแกว่งมา
ทางขวาและต้องแกว่งให้ครอบคลุมทั้งสองด้านเพื่อความปลอดภัยของผู้เดิน
ประโยชน์ เพื่อให้คนที่มีความบกพร่องทางการเห็นนั้นสามารถที่จะไปไหนมาไหนด้วยตนเองอย่างมีอิสระและปลอดภัย
2.
ทักษะการช่วยเหลือตนเอง ทักษะนี้มีความจำเป็นไม่แพ้กันกับทักษะO&M เลยทีเดียว เพราะว่าจะต้องจำเป็นที่จะต้องให้คนตาบอดสามารถที่จะช่วยเหลือตนเองให้ได้
เพื่อที่จะไม่ให้พวกเขาเหล่านั้นเป็นภาระต่อสังคม และบุคคลใกล้ชิด กิจกรรมที่จะนำมาเสนอก็คือ
การใส่เสื้อคอกลม วิธีการสอนในกิจกรรมนี้จำต้องสอนแบบการวิเคราะห์งาน โดยขั้นตอนของการสอนก็จะแบ่งออกเป็นข้อๆไป
ดังนี้
2.1 ให้นักเรียนหรือผู้ถูกฝึกสำรวจก่อนว่าเสื้อที่เขากำลังจะสวมใส่นั้นมีลักษณะอย่างไร
2.2 บอกถึงตำแหน่งของแขน คอ ของเสื้อให้เขารับรู้
2.3 นำเสื้อไปสวมเอาไว้ที่หัวของเด็กที่สอนแล้วบอกว่าต้องเอาแขนใส่อย่างไร
2.4 หลังจากนั้นให้เด็กลองพยายามทำเองถ้าเด็กยังทำไม่ได้ก็ให้ฝึกซ้ำจนกว่าจะทำได้
3. ทักษะทางสังคม ทักษะนี้ก็มีความจำเป็นไม่แพ้กัน
เพราะคนตาบอดนั้นนอกจากจะช่วยเหลือตนเองได้แล้ว ยังจะต้องมีสังคมความคู่กันไปด้วย กิจกรรมที่ใช้นำมาสอนก็
คือ ให้รู้จักรการเล่นกันเป็นกลุ่ม โดยจะพาออกไปเล่นในสนามเด็กเล่นที่ศูนย์การศึกษาพิเศษเขตการศึกษา1
ได้จัดเอาไว้ให้ โดยจะให้แต่ละคนเล่นในสิ่งที่ตนเองชอบ หลังจากที่ให้เล่นในสิ่งที่ตัวเองชอบแล้ว
ก็จะเปลี่ยนของเล่นซึ่งแต่ละคนก็จะถูกเปลี่ยนไปเล่นของเล่นชิ้นใหม่ๆ วิธีการเรียนการสอนแบบนี้
นอกจากจะได้ความเพลิดเพลินแล้วยังสอนให้รู้จักการแบ่งปันกันด้วย
ประโยชน์
ให้เด็กๆได้ผ่อนคลายและรู้จักมีสังคมกับเพื่อนๆและยังรู้จักการเสียสละอีกด้วย
4. ทักษะกล้ามเนื้อมัดเล็ก ทักษะนี้เป็นการสร้างความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อมัดเล็กต่างๆโดยเฉพาะนิ้วมือ
โดยกิจกรรมที่นำมาใช้ในการเรียนการสอนก็คือ การร้อยลูกปัดใส่เชือกและเส้นเอ็น
ประโยชน์ ฝึกให้กล้ามเนื้อของนิ้วมือมีความแข็งแรงและยังฝึกให้มีสมาธิในการทำกิจกรรมอื่นๆ
5. ทักษะวิชาการ ทักษะนี้จะเน้นไปทางด้านวิชาการ เพื่อที่จะให้เด็กได้เรียนรู้ถึงตำแหน่งของจุดต่างๆ ก่อนที่จะลองฝึกจริง เพราะเด็กตาบอดต้องเรียนรู้เกี่ยวกับอักษรเบรลล์ (braille)
ทั้งการอ่าน การเขียน และการใช้เครื่องมือที่ใช้เขียนอักษรเบรลล์ที่เรียกว่าการฝึกพรีเบรลล์
(Pre-braille) วิธีการสอนก็จะใช้กระดานปักหมุด โดยจะให้เด็กเริ่มปักไปตามใจชอบก่อน
หลังจากนั้นจะค่อยๆให้ปักเป็นแถวๆและเพิ่มจำนวนแถวให้มากขึ้นสัปดาห์ละแถว ในขั้นตอนนี้ถ้าหากว่าใครยังไม่สามารถที่จะปักได้ตามกำหนดก็จะให้ฝึก
ต่อไปจนกว่าจะทำได้ หลังจากขั้นตอนนี้แล้วก็จะให้ทดลองอ่าน หรือสัมผัสอักษรเบรลล์จำลอง
นั่นก็คือจะเป็นหนังสือเบรลล์จำลองซึ่งทำขึ้นมาเอง เมื่อเด็กสามารถที่จะแยกจุดต่างๆบนเบรลล์จำลองได้แล้ว
ถึงคราวจะต้องลงมือฝึกอักษรเบรลล์จริงๆก็จะมีวิธีการสอนอีกแบบหนึ่ง
ประโยชน์ เด็กได้สร้างความคุ้นเคยในรูปแบบ และลักษณะพื้นฐานของอักษรเบรลล์
ซึ่งจะช่วยให้เด็กสามารถเข้าใจอักษรเบรลล์ได้ดี และรวดเร็วขึ้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น