วันพุธที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2558

บุคคลที่มีความบกพร่องทางการเห็น

บุคคลที่มีความบกพร่องทางการเห็น
บุคคลที่มีความบกพร่องทางการเห็น หมายถึง บุคคลที่สูญเสียการเห็นตั้งแต่ระดับเล็กน้อยจนถึงบอดสนิทลักษณะความบกพร่องทางการเห็นแบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ
 1. การมองเห็นเลือนราง (Low vision) หมายถึงบุคคลที่สูญเสียการมองเห็นที่ไม่รุนแรงไม่สามารถอ่านตัวหนังสือทั่วไปได้แต่สามารถอ่านตัวหนังสือที่มีขนาดใหญ่กว่าปกติและจำเป็นต้องใช้ เครื่องมือในการขยายตัวอักษร คนเห็นเลือนราง หมายถึง บุคคลที่สูญเสียการเห็นแต่ยังสามารถอ่านตัวอักษรพิมพ์ขยายใหญ่ด้วยอุปกรณ์เครื่องช่วยความพิการหรือเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวก หากวดความชัดเจนของสายตาข้างดีเมื่อแก้ไขแล้วอยู่ในระดับ 6 ส่วน 18 เมตร (6/18) หรือ 20 ส่วน 70 ฟุต (20/70) หรือมีลานสายตาแคบกว่า 30 องศาลงไปจนถึง10 องศา
2. ตาบอด (Blindness) เป็นความบกพร่องของการเห็นจนไม่สามารถใช้การเห็นประกอบภารกิจประจำวันด้านการศึกษาและประกอบอาชีพเช่นคนปกติทั่วไป คนตาบอด จึงหมายถึงบุคคลที่สูญเสียการมองเห็นมากจนต้องใช้  อักษรเบรลล์ หากตรวจวัดความชัดของสายตาข้างดีเมื่อแก้ไขแล้วอยู่ในระดับ 6 ส่วน 60 เมตร (6/60) หรือ 20 ส่วน 200 ฟุต (20/200) จนถึงไม่สามารถรับรู้เรื่องแสงหรือมีลานสายตาแคบกว่า 10 องศา
สาเหตุของความบกพร่องทางการเห็น
 1. กรรมพันธุ์ (heredity) เป็นโรคที่สืบทอดจาก บิดา มารดา ปู่ ย่า ตา ยาย มักจะเป็นโรคที่ป้องกันไม่ได้ เช่น โรคต้อกระจกชนิดเป็นมาแต่กำเนิด โรคตาเสื่อม (retinal pigmentosa) ประสาทตาเสื่อม(opticatrophy)
 2. บิดา มารดา เป็นโรคบางอย่าง ซึ่งสามารถถ่ายทอดไปยังเด็กทำให้เด็กเกิดมามีตาไม่สมประกอบอันอาจเกิดมาจากความผิดปกติของโครโมโซม
สาเหตุก่อนคลอด
เกิดขึ้นขณะที่มารดาตั้งครรภ์ โดยเฉพาะ 3 เดือนแรก ขณะตั้งครรภ์มารดามีอาการ ดังนี้
·       เป็นหัดเยอรมัน มีผลต่อลูกตาของเด็ก เช่น ตาเล็กกว่าปกติ ตาฝ่อ ไม่มีลูกตา
·       เป็นโรคเกี่ยวกับเชื้อราในเลือด ทำให้เส้นประสาทตาของเด็กเกิดอาการอักเสบ มีผลทำให้เด็กมองไม่เห็นเมื่อคลอดออกมา ประสาทตาอักเสบมีผลทำให้เด็กมองไม่เห็นเมื่อคลอดออกมา
·       การคลอดก่อนกำหนด มักมีน้ำหนักน้อย ตัวเหลือง ต้องเข้าตู้อบ เมื่อต้องอยู่ในตู้อบนานมีผลทำให้เด็กตาบอดได้
สาเหตุขณะคลอด
·       การอักเสบทางช่องคลอดของมารดา ที่เกิดจากการติดเชื้อ เช่น หนองใน เชื้อรา เชื้อเริม
·       ได้รับบาดเจ็บจากการใช้เครื่องมือขณะแพทย์ทำการคลอด
สาเหตุหลังคลอด
·       ได้รับอุบัติเหตุจากวัตถุหรือสิ่งของ เช่น ลูกดอก มีด ดินสอ วัตถุระเบิด
·       ขาดสารอาหารหรือวิตามินเอ
·       ใช้ยาหยอดตาพร่ำเพรื่อ ใช้เองโดยไม่ปรึกษาแพทย์
·       อาจเกิดได้จากการเป็นโรคเนื้องอกที่ตา
·       อาจเกิดจากสาเหตุอื่นๆ
จากการศึกษาพบว่าเด็กตาบอดประมาณ 14 - 15 % มีสาเหตุมาจากพันธุกรรมความบกพร่องทางสายตา อันเกิดจากพันธุกรรมนั้น ได้แก่ ความผิดปกติของดวงตา ทำให้กลายเป็นคนสายตาสั้นหรือสายตายาวได้
ลักษณะอาการของบุคคลที่มีความบกพร่องทางการเห็น
สามารถจำแนกให้เห็นถึงความสามารถในการมองเห็นของคนตาบอดไว้ 6 จำพวก ได้แก่
·       คนที่จัดว่าตาบอด คือ บุคคลที่มองอะไรไม่เห็นเลย ไม่สามารถอาศัยสายตาในการศึกษาเล่าเรียนได้เป็นบุคคลที่มองเห็นได้ในระดับ 20/200 คือมองเห็นได้ในระยะ 20 ฟุต ในขณะที่คนธรรมดามองเห็นได้ในระยะ 200 ฟุต คือ บุคคลที่บอดสนิทโดยกำเนิดหรือบอดภายหลังอายุครบ 5 ขวบ
·       ตาบอดสนิท (Total Blindness) คือ คนที่มองเห็นได้ไม่มากกว่า 2/200 และไม่สามารถมองเห็นการโบกมือในระยะห่าง 3 ฟุต ได้เลย คือ บุคคลที่ภายหลังจากอายุ 5 ขวบไปแล้วจึงบอดสนิท
·       ผู้มองเห็นได้ในระยะ 5/200 แต่ไม่สามารถนับนิ้วมือได้ในระยะห่างออกไป 1 ฟุต คือ บุคคลที่มองเห็นอย่างเลือนลางมาตั้งแต่กำเนิด
·       ผู้มองเห็นได้ในระยะ 10/200 แต่ไม่อาจอ่านพาดหัวข่าวหนังสือพิมพ์ได้ สามารถรับรู้การเคลื่อนไหวได้บ้าง คือ บุคคลที่ตาบอดไม่สนิทโดยกำเนิด
·       ผู้มองเห็นได้ในระยะ 20/200 สามารถอ่านพาดหัวหนังสือพิมพ์ตัวโตๆได้ แต่อ่านได้ไม่เกิน 14 จุด คือ บุคคลที่ตาบอดไม่สนิทแต่ต่อมาเกิดบอดสนิท
·       ผู้มองเห็นได้ในระยะ 20/200 สามารถอ่านได้ 10 จุด แต่ไม่สามารถใช้สายตาให้เป็นประโยชน์ในชีวิตประจำวันได้ คือ บุคคลที่พอมองเห็นบ้าง แต่ต่อมาบอดสนิท
ความบกพร่องทางการเห็นโดยทั่วไปจะมีอาการที่สามารถสังเกตได้ในลักษณะต่างๆ ดังนี้
·       มีอาการคันตาเรื้อรัง มีน้ำตาไหลอยู่เสมอ หรือตาแดงอยู่บ่อยๆ
·       มักมองเห็นภาพซ้อน วิงเวียนศีรษะ มองเห็นไม่ชัดในบางครั้ง
·       เวลามองวัตถุไกลๆ ต้องขยี้ตา หรือทำหน้าย่นขมวดคิ้ว
·       เวลาเดินต้องมองอย่างระมัดระวังหรือเดินช้าๆ โดยกลัวจะสะดุดสิ่งที่ขวางหน้า
·       ไม่มีความสนใจดูภาพที่ติดตามฝาผนัง หรือข้อความที่เขียนบนกระดานดำ
·       มักบ่นเรื่องสายตาอยู่เสมอ
·       ไม่ชอบการทำงานที่ต้องใช้สายตา
·       กระพริบตาบ่อยๆ ขณะอ่านหนังสือ
·       วางหนังสือในลักษณะผิดปกติขณะอ่านใกล้หรือไกลเกินไป
·       ขณะอ่านต้องเอียงศีรษะ
·       อ่านหนังสือได้ในระยะเวลาสั้น
·       ขณะอ่านหนังสือต้องปิดตาข้างใดข้างหนึ่ง
·       สายตาสู้แสงสว่างไม่ค่อยได้
เด็กที่มีความบกพร่องทางสายตาโดยทั่วไปจะเคลื่อนไหวช้าประสาทสัมผัสบางส่วนจะทำงานได้ดีกว่าคนปกติเช่น ประสาทหู และความสามารถด้านความจำส่วนสุขภาพโดยทั่วไปจะไม่แตกต่างจากเด็กปกติ รวมทั้งการพูดจาก็จะใช้ภาษาพูดตามปกติแต่จะเรียนการพูดได้ช้ากว่าเด็กปกติ เด็กตาบอดจะพูดเสียงดัง แต่น้ำเสียงปกติจะไม่มีการใช้มือประกอบท่าทางการพูด และเวลาพูดจะเผยอริมฝีปากเล็กน้อยบุคคลที่มี
การปรับตัวส่วนตัวของบุคคลที่บกพร่องทางการเห็น
การปรับตัวของผู้ที่บกพร่องทางการเห็นไม่ว่าจะเป็นด้านส่วนตัวหรือทางสังคมขึ้นอยู่กับฐานะทางเศรษฐกิจของแต่ละคน คือ บุคคลที่มีฐานะดี ก็จะได้รับการเลี้ยงดูอย่างดี ส่วนบุคคลที่ครอบครัวยากจน ขาดความอบอุ่น ตามปกติบุคคลที่บกพร่องทางการเห็นมักจะไม่คิดว่าตนเองอยู่ในโลกมืดไม่เศร้าเสียใจ กับความบกพร่องทางสายตาของตนเท่าไรนัก มีบางคนเท่านั้นที่มีความรู้สึกหดหู่ที่มองไม่เห็นเนื่องมาจากได้ยินคำบอกเล่าหรือคำพูดเปรียบเทียบความสุขของบุคคลที่บกพร่องทางการเห็นขึ้นอยู่กับ 3 ประการ คือ
 1. การยอมรับของสังคม
2. ความสำเร็จส่วนตัว
3. การยอมรับสภาพของตน
การเป็นอยู่ของบุคคลเหล่านี้มักไม่เกี่ยวข้องกับคนปกติมากนัก กิจกรรมของพวกเขามักเป็นกิจกรรมซ้ำๆ เช่น การร้องเพลง บุคคลที่บกพร่องทางการเห็นมักร้องเพลงได้ดี คนปกติทั่วไปมักเข้าใจว่า บุคคลตาบอดจะสติปัญญาทึบ หรือมีลักษณะเป็นคนไร้ความสามารถซึ่งความจริงแล้วไม่เป็นเช่นนั้นเลย พัฒนาการทางด้านร่างกาย ความบกพร่องทางสายตาไม่ได้มีอิทธิพลต่อความเจริญเติบโตของเด็ก นำหนัก ส่วนสูง เหมือนคนปกติจะเสียเปรียบตรงที่การกระทำที่ต้องใช้ทักษะต่างๆ ซึ่งพวกเขามักได้รับการฝึกฝนใช้กล้ามเนื้อส่วนต่างๆ การมองไม่เห็น ทำให้เด็กคลานช้า เดินช้า และขาดการฝีกฝนในกิจกรรมที่ต้องใช้ความรวดเร็วทุกชนิดเช่น การขี่จักรยาน การเล่นฟุตบอล หรือกีฬาอื่นๆ
การพัฒนาบุคลิกภาพ
อย่าให้เด็กอยู่คนเดียวตามลำพัง จนเป็นส่งเสริมให้เด็กสร้างนิสัยที่ไม่ดีดังกล่าว เมื่อเด็กแสดงอากับกริยาดังกล่าว ควรให้เด็กทำชั่วครู่ ให้หันไปทำกิจกรรมอย่างอื่นทน พ่อแม่อาจวางมือจากงานชั่งคราว และหันไปเล่นกับเด็ก ไม่พยายามที่จะสกัดกันความอยากรู้อยากเห็นของเด็กๆ ไม่ควรแสดงออกถึงความฉุนเฉียว หรือเกลียดเด็กเมื่อเด็กทำให้เกิดความยุ่งยากบางประการ เพราะเด็กจะกลัวและหันมาแสดงอากับกิริยาดังกล่าวอีก เพราะเด็กอาจเบื่อควรสงเสริมให้เด็กทำสิ่งทีมีประโยชน์ โดยธรรมชาติเด็กตาบอดจะถูกจำกัดขอบเขตเพราะการยั่วยุทางสายตา ถ้ายิ่งดุด่า จู้จี่ ถากถาง เด็กจะหาความเพลิดเพลินโดยการแสดงอากับกิริยาซ้ำๆ โดยการเล่นกับตัวเองอิก
พัฒนาการทางสมอง
ผู้ที่บกพร่องทางการมองเห็นจะเสียเปรียบเพราะขาดการรับรู้ทางสายตา เป็นเหตุให้พัฒนาการทางสมองช้าไปด้วย แต่ความสามารถทางสมองของพวกเขาไม่ได้ลดหรือเพิ่ม อันเนื่องมาจากการมองไม่เห็นแต่อย่างใด เพียงแต่สติปัญญาของพวกเขาไม่อาจพัฒนาได้ดีได้จนถึงที่สุดเท่านั้น ได้ทำการทดสอบวัดเชาว์ปัญญาของผู้ที่มีความบกพร่องทางการมองเห็นจากโรงเรียนต่างๆ สรุปไว้ว่า บุคคลที่มีความบกพร่องทางการมองเห็นนั้นยังคงมีความสามารถทางสมองเป็นปกติ
พัฒนาทางการทางอารมณ์
ผู้ที่บกพร่องทางการมองเห็นมีความต้องการเช่นเดียวกับคนปกติทุกประการ แต่จะมีช่วงที่สร้างความปั่นป่วนให้คนตาบอดมากคือ เมื่อต้องพึ่งพาผู้อื่นในด้านสายตาเพราะเขาทำเองไม่ได้ ต่อมาระยะที่เขาจำเป็นต้องหางานทำ ความวิตกกังวลในการดำรงชีวิตต่อไปโดยให้ได้รับความปลอดภัย และเกิดเป็นความหวาดกลัวที่จะไปไหนมาไหน กลัวอันตรายต่างๆ
พัฒนาการทางสังคม
การมองไม่เห็นมีอิทธิพลต่อพัฒนาการทางสังคมของบุคคลที่มีความบกพร่องทางสายตามาก พวกเขาต้องการที่จะเรียนรู้ประสบการณ์ต่างๆ มากกว่าเด็กธรรมดาเพื่อเขาจะได้ไม่หว่าเหว ต้องการเรียนรู้การเป็นผู้ให้และผู้รับด้วยเพื่อทำให้อยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุขเช่นเดียวกับบุคคลทั่วไป

ช่วยเหลือหรือแก้ไขปัญหาบุคคลที่มีความบกพร่องทางการมองเห็น
ในการช่วยเหลือหรือแก้ไขปัญหาบุคคลที่มีความบกพร่องทางการมองเห็น ปัจจัยเรื่องเวลาและความเอาใจใส่ถือเป็นหัวใจสำคัญ บุคคลรอบข้างควรอดทนและเข้าใจบุคคลกลุ่มนี้ เพื่อให้พวกเขากลับมามองเห็นได้ดีดังเดิม ซึ่งหากพวกเขาได้รับการดูแลที่ดีจนสิ้นสุดการรักษา บุคคลเหล่านี้ก็ย่อมกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างเป็นปกติ ทั้งนี้วิธีการที่ผู้ปกครองจะช่วยเหลือหรือแก้ไขปัญหาความบกพร่องทางมองเห็นของลูก ได้แก่
·       ผู้ปกครองสังเกตพฤติกรรมการมองเห็นของพวกเขาตั้งแต่แรกเกิด หากมีความผิดปกติให้พบแพทย์ทันที
·       หากคนครอบครัวมีประวัติของโรคอันเกี่ยวข้องกับความผิดปกติทางการมองเห็น พ่อแม่จำเป็นต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด เพราะความบกพร่องทางการมองเห็นสามารถถ่ายทอดกันได้ในครอบครัว
·       อย่างน้อยที่สุด พ่อแม่ควรพาลูกไปตรวจการมองเห็น (Vision Screening) ครั้งแรกเมื่อลูกอายุ 3 ขวบยึด
·       หลักการ ยิ่งเร็ว ยิ่งดีเพราะยิ่งเจอปัญหาไว ยิ่งเข้ารับการรักษาไว ก็ยิ่งหายได้ไว
·       เมื่อบุคคลที่มีความบกพร่องทางการมองเห็นโตพอที่จะสื่อสารได้ พ่อแม่ควรพูดคุยกับเขาบ่อยๆ และควรทดสอบสภาพการมองเห็นของเขาอยู่เสมอ
·       ไม่นิ่งนอนใจเมื่อพวกเขาแสดงพฤติกรรมผิดปกติ เช่น ขยี้ตา และควรห้ามเขาไม่ให้ไปสัมผัสดวงตา เพราะอาจทำให้อาการแย่ลง
·       หากเขาได้รับการวินิจฉัยว่ามีปัญหาความบกพร่องทางการมองเห็น พ่อแม่ควรพาเขาไปพบแพทย์อย่างสม่ำเสมอและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด
·       ในกรณีที่เขาตาบอดสนิทถือว่าเขาขาดโอกาสในการมองเห็นไปตลอดชีวิต จึงเป็นหน้าที่ที่พ่อแม่และคนใกล้ชิดต้องเติมเต็มเขาด้วยความรักและสอนทักษะการใช้ชีวิตให้กับเขา
·       นอกจากจะต้องคอยเติมกำลังใจให้เขาแล้ว ผู้ปกครองก็ควรเติมกำลังใจให้แก่กันด้วย อย่าปล่อยให้ตนเองเครียดกับปัญหาเหล่านี้ ฝึกคิดเชิงบวกและเป็นตัวอย่างในการคิดเชิงบวก เพื่อจะได้มีแรงส่งเขาไปได้ตลอดรอดฝั่งจนเขาสามารถพึ่งตัวเองได้
·       หาความรู้เพิ่มเติม เช่น เข้ากลุ่มกับผู้ปกครองของบุคคลที่มีความบกพร่องทางการมองเห็นเพื่อแลกเปลี่ยนข่าวสาร ข้อแนะนำและกำลังใจ
·       สนับสนุนให้เขาใช้อุปกรณ์ช่วยเหลือต่างๆ เช่น อักษรเบรลล์ หนังสือออกเสียงได้ และใช้สื่ออื่นๆ เช่น ซีดี ในการเรียนรู้
·       ส่งเสริมทักษะอื่นๆที่เขาสามารถทำได้เพื่อให้เขาเกิดความภาคภูมิใจ เช่น ศิลปะ กีฬา ดนตรี รวมถึงเตรียมความพร้อมสำหรับการฝึกทักษะทางวิชาชีพต่อไปในอนาคต
กิจกรรมเพื่อพัฒนาการเรียนการสอนผู้ที่บกพร่องทางการเห็น
       ฝ่ายบกพร่องทางการเห็นได้แบ่งกิจกรรมการเรียนการสอนไว้ด้วยกัน 5 ทักษะ โดยแต่ละทักษะมีรายละเอียดที่แตกต่างกัน ดังนี้
1. ทักษะการสร้างความคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมและการเคลื่อนไหว หรือเรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า O &M  (Orientation and Mobility) ทักษะนี้จะแบ่งลายระเอียดได้หลายข้อโดยจะเริ่มจากวิธีการใช้ไม้เท้าขาวให้ถูกต้องและปลอดภัย วิธีการจับไม้เท้าใช้มือขวาจับไม้เท้าโดยให้นิ้วมือวางอยู่ตรงหน้าของไม้ หลังจากนั้นก็ให้ใช้ข้อมือขวาเป็นตัวขับเคลื่อนโดยถ้า เราแกว่งไม้เท้าไปทางขวาเราก็จะต้องก้าวเท้าซ้าย และเมื่อเราก้าวเท้าซ้ายก็จะต้องแกว่งมา ทางขวาและต้องแกว่งให้ครอบคลุมทั้งสองด้านเพื่อความปลอดภัยของผู้เดิน
ประโยชน์ เพื่อให้คนที่มีความบกพร่องทางการเห็นนั้นสามารถที่จะไปไหนมาไหนด้วยตนเองอย่างมีอิสระและปลอดภัย
 2. ทักษะการช่วยเหลือตนเอง ทักษะนี้มีความจำเป็นไม่แพ้กันกับทักษะO&M เลยทีเดียว เพราะว่าจะต้องจำเป็นที่จะต้องให้คนตาบอดสามารถที่จะช่วยเหลือตนเองให้ได้ เพื่อที่จะไม่ให้พวกเขาเหล่านั้นเป็นภาระต่อสังคม และบุคคลใกล้ชิด กิจกรรมที่จะนำมาเสนอก็คือ การใส่เสื้อคอกลม วิธีการสอนในกิจกรรมนี้จำต้องสอนแบบการวิเคราะห์งาน โดยขั้นตอนของการสอนก็จะแบ่งออกเป็นข้อๆไป ดังนี้
2.1  ให้นักเรียนหรือผู้ถูกฝึกสำรวจก่อนว่าเสื้อที่เขากำลังจะสวมใส่นั้นมีลักษณะอย่างไร
             2.2  บอกถึงตำแหน่งของแขน คอ ของเสื้อให้เขารับรู้
             2.3  นำเสื้อไปสวมเอาไว้ที่หัวของเด็กที่สอนแล้วบอกว่าต้องเอาแขนใส่อย่างไร
             2.4  หลังจากนั้นให้เด็กลองพยายามทำเองถ้าเด็กยังทำไม่ได้ก็ให้ฝึกซ้ำจนกว่าจะทำได้
                3.  ทักษะทางสังคม ทักษะนี้ก็มีความจำเป็นไม่แพ้กัน เพราะคนตาบอดนั้นนอกจากจะช่วยเหลือตนเองได้แล้ว ยังจะต้องมีสังคมความคู่กันไปด้วย กิจกรรมที่ใช้นำมาสอนก็ คือ ให้รู้จักรการเล่นกันเป็นกลุ่ม โดยจะพาออกไปเล่นในสนามเด็กเล่นที่ศูนย์การศึกษาพิเศษเขตการศึกษา1 ได้จัดเอาไว้ให้ โดยจะให้แต่ละคนเล่นในสิ่งที่ตนเองชอบ หลังจากที่ให้เล่นในสิ่งที่ตัวเองชอบแล้ว ก็จะเปลี่ยนของเล่นซึ่งแต่ละคนก็จะถูกเปลี่ยนไปเล่นของเล่นชิ้นใหม่ๆ วิธีการเรียนการสอนแบบนี้ นอกจากจะได้ความเพลิดเพลินแล้วยังสอนให้รู้จักการแบ่งปันกันด้วย
                ประโยชน์ ให้เด็กๆได้ผ่อนคลายและรู้จักมีสังคมกับเพื่อนๆและยังรู้จักการเสียสละอีกด้วย
               4. ทักษะกล้ามเนื้อมัดเล็ก ทักษะนี้เป็นการสร้างความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อมัดเล็กต่างๆโดยเฉพาะนิ้วมือ โดยกิจกรรมที่นำมาใช้ในการเรียนการสอนก็คือ การร้อยลูกปัดใส่เชือกและเส้นเอ็น
               ประโยชน์  ฝึกให้กล้ามเนื้อของนิ้วมือมีความแข็งแรงและยังฝึกให้มีสมาธิในการทำกิจกรรมอื่นๆ
              5. ทักษะวิชาการ ทักษะนี้จะเน้นไปทางด้านวิชาการ เพื่อที่จะให้เด็กได้เรียนรู้ถึงตำแหน่งของจุดต่างๆ ก่อนที่จะลองฝึกจริง เพราะเด็กตาบอดต้องเรียนรู้เกี่ยวกับอักษรเบรลล์ (braille) ทั้งการอ่าน การเขียน  และการใช้เครื่องมือที่ใช้เขียนอักษรเบรลล์ที่เรียกว่าการฝึกพรีเบรลล์ (Pre-braille) วิธีการสอนก็จะใช้กระดานปักหมุด โดยจะให้เด็กเริ่มปักไปตามใจชอบก่อน หลังจากนั้นจะค่อยๆให้ปักเป็นแถวๆและเพิ่มจำนวนแถวให้มากขึ้นสัปดาห์ละแถว ในขั้นตอนนี้ถ้าหากว่าใครยังไม่สามารถที่จะปักได้ตามกำหนดก็จะให้ฝึก ต่อไปจนกว่าจะทำได้ หลังจากขั้นตอนนี้แล้วก็จะให้ทดลองอ่าน หรือสัมผัสอักษรเบรลล์จำลอง นั่นก็คือจะเป็นหนังสือเบรลล์จำลองซึ่งทำขึ้นมาเอง เมื่อเด็กสามารถที่จะแยกจุดต่างๆบนเบรลล์จำลองได้แล้ว ถึงคราวจะต้องลงมือฝึกอักษรเบรลล์จริงๆก็จะมีวิธีการสอนอีกแบบหนึ่ง
               ประโยชน์ เด็กได้สร้างความคุ้นเคยในรูปแบบ และลักษณะพื้นฐานของอักษรเบรลล์ ซึ่งจะช่วยให้เด็กสามารถเข้าใจอักษรเบรลล์ได้ดี และรวดเร็วขึ้น

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น